วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ละครยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)



ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เริ่มต้นประมาณคริสตศตวรรษที่ 15 และสิ้นสุดลงประมาณคริสตศตวรรษที่ 17 (รวมราว 300 ปี) คำว่า Renaissance เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “การเกิดใหม่” หมายถึง การรื้อฟื้นอารยธรรมคลาสสิคของกรีกและโรมันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ยุคนี้ เปลี่ยนแปลงจากยุคกลาง ที่มุ่งเน้นการสอนให้คนยอมรับชะตากรรมตามที่เป็น สู่ ยุคสมัยที่ยกย่องเห็นคุณค่าของชีวิตมนุษย์ ในลักษณะที่เน้นมนุษยนิยม (humanism) มากยิ่งขึ้น กล่าวคือ มีความเชื่อในความก้าวหน้าและความสร้างสรรค์ของปัจเจกบุคคล ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการค้า เป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เพราะมีการติดต่อค้าขายกับกรีก รวมทั้งเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโรมันโบราณ ความรู้ในยุคนี้ แพร่หลายได้มากขึ้น เพราะมีความเจริญของการพิมพ์ประกอบกัน โดยมีการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1448 ที่เยอรมนี ทำให้หนังสือราคาถูกลง ในส่วนของวรรณกรรมและปรัชญา จึงมีนักคิดและนักเขียนเกิดขึ้นหลายคน ตัวอย่างเฉพาะในด้านการละคร ในประเทศอังกฤษ เช่น วิลเลียม เช็คสเปียร์ และ คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์

วิทยาการในด้านการพิมพ์ ทำให้มีการพิมพ์พระคริสตธรรมคัมภีร์กันอย่างแพร่หลาย จนชาวบ้านธรรมดาที่สิทธิครอบครองและศึกษาได้ และในที่สุด มีการแปลจากภาษากรีกโบราณ ออกมาเป็นภาษาพื้นถิ่น เช่น ภาษาเยอรมัน ในที่สุด จึงนำสู่การปฏิรูปศาสนาเป็นนิกายโปรเตสแตนท์แยกจากนิกายโรมันคาธอลิคที่ปกครองโดยพระสันตปาปา ซึ่งเป็นที่เสื่อมศรัทธาลง กษัตริย์หลายประเทศ เริ่มแยกตัวออกจากอำนาจของพระสันตปาปา

ในส่วนของสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และ จิตรกรรม ศิลปิน ได้ศึกษางานจากยุคกรีกและโรมันโบราณ มาประยุกต์สร้างสรรค์งาน ศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี, ไมเคิล แอนเจโล, และ ราฟาเอล

วิทยาการในยุคนี้ ก้าวหน้ามากขึ้น จากการศึกษาความรู้ต่าง ๆ ของ กรีกและโรมันโบราณ แล้วนำมาคิดค้นพัฒนาต่อด้วยวิทยาศาสตร์แห่งการทดลองและเหตุผล (ตามปรัชญาแนวคิด ของ เบคอน และ เดส์การ์ต) จนทำให้โลกตะวันตกก้าวสู่ยุคแห่งความสว่าง (Age of Enlightenment) ในคริสตศตวรรษที่ 18 และเป็นผู้นำของโลกในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจนถึงปัจจุบัน

การละคร
การละครในยุคกลาง มีละครเกี่ยวกับศาสนาเป็นหลัก คือ 1. Mystery Play – ประวัติชีวิตพระเยซู โดยกลุ่มอาชีพที่มีศาสตร์เป็น mystery (ความลับ) 2. Miracle Play – ปาฏิหาริย์นักบุญ และ 3. Morality Play - สอนศีลธรรม (เรื่องราวของตัวเอกชื่อ Everyman หรือ Mankind) ส่วนละครสุข-นาฏกรรมจะมีเพียงรูปแบบที่เรียกว่า jongleurs ซึ่งพัฒนามาจาก mime ของยุคโรมัน โดยจะมี stock characters ที่มีลักษณะท่าทางเฉพาะตัวและมีชื่อเรียก ต่อมา ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ มีการศึกษารูปแบบและบทละครของกรีกและโรมันโบราณ และนำมาประยุกต์เป็นรูปแบบการละครในยุคนี้

ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการในอิตาลี

มีการพยายามนำเอาลักษณะของละครโศกนาฏกรรมของ Seneca มาแต่งเป็นบทละครโศก-นาฏกรรม กล่าวคือ เต็มไปด้วยความรุนแรง และความพยาบาท แต่ไม่ได้รับความนิยม ต่อมา มีผู้ศึกษาพบว่า ละครกรีกมีการขับร้อง จึงประยุกต์รูปแบบนี้มา ใช้ ใน ปี ค.ศ. 1574 ที่เวนิส กลายเป็นละครแบบที่เป็นต้นแบบของ Opera ที่เป็นที่นิยมอย่างยิ่งต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคริสตศตวรรษที่ 17
ในส่วนของสุขนาฏกรรม มีการประยุกต์เรื่องราวในบทละครของกรีกและโรมันโบราณมาใช้ บทละครสุขนาฏกรรมของอิตาลีหลายเรื่อง เป็นต้นแบบของโครงเรื่องของบทละครของเช็คสเปียร์ในประเทศอังกฤษต่อมา อย่างไรก็ตาม ละครสุขนาฏกรรมลักษณะนี้ ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรในอิตาลี เพราะเขียนขึ้นเพื่อแสดงในหมู่คนชั้นสูงเท่านั้น แต่ละครสุขนาฏกรรมรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากกว่า กลับเป็นละครรูปแบบที่เรียกว่า commedia dell’ arte ซึ่งพัฒนาต่อมาจาก jongleurs ในยุคกลาง โดยเริ่มแพร่หลายในช่วงคริสตศตวรรษที่ 16 และส่งอิทธิพลต่อไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรปด้วยในเวลาต่อมา commedia dell’ arte เป็นลักษณะละครสุขนาฏกรรมที่มีตัวละครเป็นแบบ stock หรือ type characters (คือมีลักษณะทางร่างกายและชุดเฉพาะตัว เช่น Puccinella = ชายหลังค่อม จมูกงุ้ม มีรอยย่นที่เหนือคิ้ว และใส่หน้ากากสีเข้ม) และมีการเล่นสด (improvisation) จากบทบรรยายแต่ละฉากที่เขียนไว้เพียงสั้น ๆ เท่านั้น ความนิยมใน commedia dell’ arte มีส่วนทำให้ไม่มีการสร้างสรรค์บทละครที่ยิ่งใหญ่เท่าที่ควรในยุคฟื้นฟู ฯ ในอิตาลี

ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการในประเทศอังกฤษ (คริสตศตวรรษที่ 16-ต้น 17)

ละครในยุคนี้ เติบโตที่สุดในประเทศอังกฤษ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบ็ธที่ 1 โดยเป็นการละครที่ได้รับอิทธิพลจากนักเขียนบทละครโรมัน เช่น Seneca กล่าวคือ ลักษณะการมี 5 องก์ และ แก่นเรื่องความพยาบาทและการแก้แค้น รวมทั้งการปรากฏตัวของวิญญาณ และ Plautus ในแง่ของโครงเรื่องสุขนาฏกรรม เช่น การผิดฝาผิดตัวของฝาแฝด
คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์ (Chirstopher Marlowe : ค.ศ. 1564-1593) เขียนโศกนาฏกรรม เช่น The Tragical History of Doctor Fautus จากตำนานของเยอรมัน เป็นเรื่องของชายชื่อ เฟาสตัส ที่ขายวิญญาณให้พญามารและกับอำนาจเหนือมนุษย์เป็นเวลา 24 ปี

วิลเลียม เช็คสเปียร์ (William Shakespeare : ค.ศ. 1564-1616) มีผลงานบทละครหลายประเภทรวม 37 เรื่องในเวลาเพียง 25 ปี

เบน จอนสัน (Ben Jonson : ค.ศ. 1572-1637) นักเขียนบทละครสุขนาฏกรรม ในลักษณะ “comedy of humours” หรือ ละครตลกแบบสมจริง สร้างมุขตลกจากพฤติกรรมของมนุษย์



ละครของอังกฤษ
 จะใช้เฉพาะผู้ชายในการแสดง
ยุคนีโอคลาสสิกในประเทศฝรั่งเศส (คริสตศตวรรษที่ 17)
ความมั่นคงและความมั่นคงของฝรั่งเศสในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทำให้การละครของฝรั่งเศสในยุคนี้ เฟื่องฟูตามไปด้วย การละครในยุคนี้ มีการควบคุมกฎเกณฑ์โดยบัณฑิตยสถานแห่งฝรั่งเศส (Academie Francaise)

ละครในยุคนี้
นำเอาหลักเอกภาพ (unity) ที่อริสโตเติล นักปรัชญากรีกเขียนไว้ใน Poetics มาตีความใช้เป็นกฎเกณฑ์กำหนดไว้ โดยละครที่ดี จะต้องมีเอกภาพ 3 ด้านดังนี้

1. เอกภาพในด้าน เวลา (time) (เหตุการณ์ต้องเกิดและจบภายใน 24 ชั่วโมง)
2. เอกภาพในด้านสถานที่ (place) (ใช้สถานที่เดียว โดยคำนึงว่าระยะทางที่เกิดขึ้นในเรื่องต้องเป็นไปได้ในเวลาอันจำกัดดังกล่าว)
3. เอกภาพในด้านการกระทำ (action) โดยที่โครงเรื่อง (plot) จะเน้นเพียงสิ่งเดียว
นอกจากนี้ ยังมีการมุ่งเน้นความบริสุทธิ์ของประเภทของละคร (purity of genres) กล่าวคือ
จะไม่มีการปะปนกัน ระหว่าง ลักษณะโศกนาฏกรรมและสุขนาฏกรรม ในบทละคร ทั้งนี้ ละครยังต้องมีจุดมุ่งหมายที่ดีงาม กล่าวคือ เพื่อให้แง่คิดเชิงศีลธรรมอีกด้วย ละครของฝรั่งเศส จะมีการใช้ผู้แสดงเป็นชายจริงและหญิงแท้

นักเขียนบทละครที่สำคัญในยุคนี้ สำหรับโศกนาฏกรรม ได้แก่ Pierre Corneille เช่น เรื่อง Le Cid และ Jean Racine เช่น เรื่อง Phedre (หรือ Phaedra) และสำหรับสุขนาฏกรรม ได้แก่ Moliere เช่น เรื่อง Misanthrope และ L’Avare (The Miser) ที่ได้รับอิทธิพลจากเรื่อง The Pot of Gold ของ Plautus ในยุคโรมันโบราณ

ลักษณะโรงละคร ในอังกฤษ
โรงละครในอังกฤษเป็นโรงละครกลางแจ้ง ไม่มีหลังคา และจัดแสดงละครในช่วงบ่ายโดยใช้แสงธรรมชาติจากดวงอาทิตย์ เวทีจะยื่นเข้าไปในสนามหญ้า โดยมีหน้ากว้างประมาณ 43 ฟุต ยาว 27 ½ ฟุต ผู้ดูสามารถยืนล้อมเวทีได้ 3 ด้าน ส่วนยืนใกล้เวทีจะมีราคาถูกที่สุด ด้านหลังและข้าง ๆ ของเวทีจะมี ที่นั่งทำเป็นระเบียงยาว (galleries) ล้อมเป็นรูปเกือกม้าอยู่ มี 3 ชั้น (ดัดแปลงมาจากรูปแบบของโรงสู้หมี) เป็นที่นั่งของผู้ดูที่มีราคาแพงขึ้น ส่วนที่ราคาแพงที่สุด คือ Lord’s Room ซึ่งอยู่ด้านหลังเวทีพอดี เป็นที่ ๆ สามารถดูละครได้ใกล้ชิด และ สามารถให้คนอื่นเห็นผู้ดูที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้ชัดเจนด้วยในเวลาเดียวกัน
เวทีจะมีม่านกั้นตรงด้านหลัง และจะมีการวาดภาพฉากบนม่าน ซึ่งสามารถดึงเปลี่ยนได้ ในส่วนของการตกแต่งฉาก จะมีไม่มาก เช่น มีการใช้โต๊ะและเก้าอี้ แทน บ้าน การใช้บัลลังก์ แทน วัง หรือ การใช้ต้นไม้ปลอม 2-3 ต้น แทน ป่า เป็นต้น

การเปลี่ยนฉาก จะแสดงให้เห็นด้วยการ เข้า-ออก ของ ตัวละคร ละครไม่มีการปิดม่าน จึงดำเนินต่อเรื่องไปเรื่อย ๆ โดยใช้บทเป็นตัวช่วย

เวทีจะมีช่องที่เปิดลงไปใต้เวทีได้ เรียกว่า trap ส่วนใต้เวทีจะเป็นส่วนที่เรียกว่า นรก (hell) เป็นส่วนที่ให้ปีศาจหรือวิญญาณออกมาและหายตัวไป ส่วนเหนือเวทีตรงเพดานข้างบน จะเรียกว่า สวรรค์ (heaven) ซึ่งมีรอกที่ใช้ชักเทวดาลงมาได้ และวาดเป็นรูปท้องฟ้าและจักรราศี (ได้รับอิทธิพลเวทีละครศาสนาในยุคกลาง)

ส่วนรอบเวทีนั้น จะมีการแขวนระบายผ้า เพื่อปิดโครงไม้ใต้เวที โดยจะเปลี่ยนสีและลายไปตามอารมณ์ของเรื่อง เช่น สีดำ สำหรับละครโศกนาฏกรรม สีขาว แดง หรือ เขียว สำหรับ ละครอิงประวัติศาสตร์ ละครสุขนาฏกรรม และ ละครเกี่ยวกับชีวิตในชนบท

ในส่วนของ เสียงประกอบการแสดง จะมีการทำเสียงประกอบด้วยอุปกรณ์ง่าย ๆ เช่น ใช้การเคาะกระทะทำเป็นเสียงฟ้าร้อง หรือ การใช้เสียงระฆังช่วยบอกเวลา ในส่วนของการใช้เทคนิคประกอบการแสดง มีการจุดดอกไม้ไฟ ทำเป็นฟ้าผ่า

ในฝรั่งเศสและอิตาลี

โรงละครได้รับอิทธิพลมาจากรูปแบบอาคาร ของ โรงละครโรมัน แต่เป็นการใช้ฉากวาดแทนการสร้างอาคารจริง ส่วนต่าง ๆ ของเวทีละคร มีดังนี้

1. borders – เป็นม่านเหนือเวที เพื่อความสวยงาม และ ซ่อนไฟได้

2. proscenium arch – กรอบแบ่งระหว่างเวทีด้านหน้าที่เป็นส่วนแสดง กับฉากด้านหลัง

3. apron (forestage) – การแสดงจะเล่นตั้งแต่ปีกคู่หน้าสุด ถึง apron

4. wings – ปีก จัดวางไว้ข้างเวทีเป็นคู่ ๆ ทำจากผ้าขึงบนกรอบไม้ วาดภาพ (เช่นอาคาร) ที่จะนำสายตาไปสู่ฉากหลัง (back drop) พื้นของเวทีระหว่างปีกจะลาดขึ้นสู่ ฉากหลังเพื่อนำสายตา และไม่ได้ใช้สำหรับเล่น

5. back drop – ฉากหลัง เป็นภาพวาดฉากที่สามารถเปลี่ยนได้โดยใช้ล้อเลื่อนจากใต้เวที การวาดฉาก จะวาดจากจุดที่มีมุมมองที่ดีที่สุดในโรงละคร คือ ที่ที่กษัตริย์จะประทับ (ตรงกลาง) ทั้งนี้ นักแสดงมีฉากเป็นเพียง background เท่านั้น ได้ไม่ได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดง (environment) นักแสดงจะไม่เล่นกับฉาก แต่จะเล่นกับคนดู อาจมีบทเพียงแค่อ้างถึงฉากว่า “ตรงนั้น บ้านของข้า” เท่านั้น

ยุคฟื้นฟูยุครีเนซองค์










สมัยรีเนซองส์ (The Renaissance)
สมัยรีเนซองส์ คำว่า “Renaissance” แปลว่า “การเกิดใหม่” (Re-birth) ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ปัญญาชนในยุโรปได้หันความสนใจจากกิจการฝ่ายศาสนาที่ ได้ปฏิบัติมาอย่างเคร่งครัดตลอดสมัยกลาง มาสู่การฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งมีแนวความคิดอ่านและวัฒนธรรมตามแบบกรีก และโรมันโบราณ สมัยแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยานี้
ได้เริ่มขึ้นครั้งแรกตามหัวเมืองภาคเหนือของแหลมอิตาลี โดยได้เริ่มขซ์ ภาพ The Birth of Venus ก่อนแล้วจึงแพร่ไปยังเวนิชปิสา เจนัว จนทั่วแคว้นทัสคานีและลอมบาร์ดี จากนั้นจึงแพร่ไปทั่วแหลมอิตาลีแล้วขยายตัวเข้าไปในฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ลักษณะของดนตรีในสมัยนี้ยังคงมีรูปแบบคล้ายในสมัยศิลป์ใหม่ แต่ได้มีการปรับปรุงพัฒนารูปแบบมากขึ้น
ลักษณะการสอดประสานทำนอง ยังคงเป็นลักษณะเด่น เพลงร้องยังคงนิยมกัน แต่เพลงบรรเลงเริ่มมี บทบาทมากขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 รูปแบบของดนตรีมีความแตกต่างกันดังนี้ (ไขแสง ศุขะวัฒนะ,2535:89)


1. สมัยศตวรรษที่ 15 ประชาชนทั่วไปได้หลุดพ้นจากการปกครองระบอบศักดินา (Feudalism) มนุษยนิยม (Humanism) ได้กลายเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา ศิลปินผู้มีชื่อเสียง คือ ลอเร็นโซ กิแบร์ตี โดนาเต็ลโล เลโอนาร์โด ดา วินชิ ฯลฯ เพลงมักจะมี 3 แนว

โดยแนวบนสุดจะมีลักษณะน่าสนใจกว่าแนวอื่นๆ เพลงที่ประกอบด้วยเสียง 4 แนว ในลักษณะของโซปราโน อัลโต เทเนอร์ เบส
เริ่มนิยมประพันธ์กันซึ่งเป็นรากฐานของการประสานเสียง 4 แนว ในสมัยต่อ ๆ มา เพลงโบสถ์จำพวกแมสซึ่งพัฒนามาจากแชนท์มีการประพันธ์กันเช่นเดียวกับในสมัยกลาง เพลงโมเต็ตยังมีรูปแบบคล้ายสมัยศิลป์ใหม่ ในระยะนี้เพลงคฤหัสถ์เริ่มมีการสอดประสานเกิดขึ้น คือ เพลงประเภท ซังซอง แบบสอดประสาน (Polyphonic chanson)
ซึ่งมีแนวทำนองเด่น 1 แนว และมีแนวอื่นสอดประสานแบบล้อกัน (Imitative style) ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลักษณะของการใส่เสียงประสาน(Homophony) ลักษณะล้อกันแบบนี้เป็นลักษณะสำคัญของเพลงในสมัยนี้ นอกจากนี้มีการนำรูปแบบของโมเต็ตมาประพันธ์เป็นเพลงแมสและการนำหลักของแคนนอนมาใช้ในเพลงแมสด้วย


2. สมัยศตวรรษที่ 16 มนุษยนิยมยังคงเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา
การปฏิรูปทางศาสนาและการต่อต้านการปฏิรูปทางศาสนาของพวกคาทอลิกเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งของคริสต์ศาสนาเพลงร้อง แบบสอดประสานทำนองพัฒนาจนมีความสมบูรณ์แบบเพลงร้องยังคงเป็นลักษณะเด่น แต่เพลงบรรเลงก็เริ่มนิยมกันมากขึ้น เพลงโบสถ์ยังมีอิทธิพลจากเพลงโบสถ์ของโรมัน แต่ก็มีเพลงโบสถ์ของนิกายโปรแตสแตนท์เกิดขึ้น การประสานเสียงเริ่มมีหลักเกณฑ์มากขึ้น การใช้การประสานเสียงสลับกับการล้อกันของทำนองเป็นลักษณะหนึ่งของเพลงในสมัยนี้ การแต่งเพลงแมสและโมเต็ต นำหลักของการล้อกันของทำนองมาใช้แต่เป็นแบบฟิวก์ (Fugue) ซึ่งพัฒนามาจากแคนนอน คือ การล้อของทำนองที่มีการแบ่งเป็นส่วนๆ ที่สลับซับซ้อนมีหลักเกณฑ์มากขึ้นในสมัยนี้มีการปฏิวัติทางดนตรีเกิดขึ้นในเยอรมัน ซึ่งเป็นเรื่องของความขัดแย้ง


ทางศาสนากับพวกโรมันแคธอลิก จึงมีการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่โดยใช้ กฏเกณฑ์ใหม่ด้วยเพลงที่เกิดขึ้นมาใหม่เป็นเพลงสวดที่เรียกว่า “โคราล” (Chorale) ซึ่งเป็นเพลงที่นำมาจากแชนท์แต่ใส่อัตราจังหวะเข้าไป นอกจากนี้ยังเป็นเพลงที่นำมาจากเพลงคฤหัสถ์โดย ใส่เนื้อเป็นเรื่องศาสนาและเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ด้วย เพลงในสมัยนี้เริ่มมีอัตราจังหวะแน่นอน เพลงคฤหัสถ์มีการพัฒนาทั้งใช้ผู้ร้องและการบรรเลง กล่าวได้ว่าดนตรีในศตวรรษนี้มีรูปแบบ ใหม่ ๆ เกิดขึ้นและหลักการต่าง ๆ มีแบบแผนมากขึ้น ในสมัยนี้มนุษย์เริ่มเห็นความสำคัญของดนตรีมาก โดยถือว่าดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นอกจากจะให้ดนตรีในศาสนาสืบเนื่องมาจากสมัยกลาง (Middle Ages) แล้วยังต้องการดนตรีของคฤหัสถ์ (Secular Music) เพื่อพักผ่อนในยามว่าง เพราะฉะนั้นในสมัยนี้ดนตรีของคฤหัสถ์ (Secular Music) และดนตรีศาสนา (Sacred Music) มีความสำคัญเท่ากัน
สรุป ลักษณะบทเพลงในสมัยนี้ 1. บทร้องใช้โพลีโฟนี (Polyphony) ส่วนใหญ่ใช้ 3-4 แนว ในศตวรรษที่ 16 ได้ชื่อว่า “The Golden Age of Polyphony”2. มีการพัฒนา Rhythm ในแบบ Duple time และ Triple time ขึ้น3. การประสานเสียงใช้คู่ 3 ตลอด และเป็นสมัยสุดท้ายที่มีรูปแบบของขับร้องและบรรเลงเหมือนกัน

เครื่องดนตรีสมัยรีเนซองส์ี
เครื่องดนตรีที่นิยมใช้กันได้แก่ เครื่องสายที่บรรเลงด้วยการใช้คันชัก ได้แก่ ซอวิโอล (Viols) ขนาดต่างๆ ซอรีเบค (Rebec) ซึ่งตัวซอมีทรวดทรงคล้ายลูกแพร์เป็นเครื่องสายที่ใช้คันชัก ลูท เวอร์จินัล คลาวิคอร์ด ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ปี่ชอม ปี่คอร์เน็ต แตรทรัมเปต และแตรทรอมโบนโบราณ เป็นต้น





นักแสดงกำลังแสดงดนตรี
ประวัติผู้ประพันธ์เพลงสมัยนีเรซองส์


1. ดันสเตเบิล (John Dunstable, ประมาณ 1390 - 1453) ผู้ประพันธ์เพลงชาวอังกฤษ ซึ่งนอกจากมีชื่อเสียงเรื่องการประพันธ์เพลงแล้ว ยังเป็นนักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ อีกด้วย เป็นผู้ทำให้วงการดนตรีรู้จักและยกย่องดนตรีของชาวอังกฤษ ชีวิตส่วนใหญ่ของ ดันสเตเบิลไปอยู่ในฝรั่งเศส โดยการไปรับใช้ดยุคแห่งเบดฟอร์ด ผลงานการประพันธ์ของ ดันสเตเบิลไม่ว่าจะเป็นเพลงร้อง เพลงแมสและโมเต็ตล้วนได้รับการยกย่องในเขตยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงระหว่างปี 1420-1430 รูปแบบดนตรีของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการดนตรี เขาคงความมีชื่อเสียงได้จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1453 ผู้ประพันธ์เพลงที่รับเอาอิทธิพลของดันสเตเบิลไว้ ได้แก่ แบงชัวส์ และดูเฟย์ และผู้ประพันธ์คนอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มผู้ประพันธ์เพลงเบอกันดี (Burgandy) ดันสเตเบิลใช้รูปแบบการประสานเสียงที่ดนตรีมาตรฐานนิยมใช้ ไม่ว่าจะเป็นในสมัยคลาสสิก โรแมนติก หรือเพลงสมัยนิยม ในขณะที่ดนตรีในสมัยนั้นโดยทั่ว ๆ ไปไม่นิยมการประสานเสียงในลักษณะนี้เลย จึงกล่าวได้ว่าดันสเตเบิลเป็นบิดาของดนตรีสมัยใหม่ (ณรุทธ์ สุทธจิตต์,2535:143)

2. ดูเฟย์(Guillianum Dufay ประมาณ 1400-1474) ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ดูเฟย์เป็นหนึ่งในจำนวนนักแต่งเพลงที่มีความ สามารถสูงในสมัยนี้เป็นหนึ่งของผู้ที่ริเริ่มดนตรีในสมัยรีเนซองส์ เมื่อมาโชท์สิ้นชีวิตลงในปี 1377 ดนตรีของฝรั่งเศสขาดผู้นำไป จนกระทั่งถึงดูเฟย์ซึ่งนับว่าเป็นผู้ประพันธ์ที่เป็นผู้นำทั้งในฝรั่งเศส และยุโรป ดูเฟย์ทำงานทางด้านดนตรี ทั้งใน อิตาลีและฝรั่งเศส ผลงานของดูเฟย์มีประกอบด้วยเพลงคฤหัสถ์และเพลงโบสถ์ โดยในระยะแรกดูเฟย์ประพันธ์เพลงคฤหัสถ์ เช่น ชังซอง ในระยะต่อมาดูเฟย์ให้ความสนใจกับเพลงโบสถ์มาก และเบนแนวประพันธ์มาสู่เพลงโบสถ์ ผลงานของดูเฟย์ที่มีชื่อเสียงคือ เพลงแมส ซึ่งประพันธ์ไว้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีเพลงโมเต็ต ซึ่งจัดเป็นเพลงที่ดูเฟย์พัฒนารูปแบบไว้และผู้ประพันธ์เพลงรุ่นต่อมานำไปใช้ ในบรรดาลูกศิษย์ของดูเฟย์มีผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียงในวงการดนตรีมาก คือ โอคิกัม

3. โอคิกัม (Johannes Ockeghem, ประมาณ 1410-1497) ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ ลูกศิษย์ของดูเฟย์ ผู้ซึ่งรับเอาแนวคิดของดูเฟย์มา และนำเอาหลักการและความคิดของตนใส่เข้าไปทำให้ดนตรีของโอคิกัมมีเสน่ห์ชวน ฟังทั้งนี้เนื่องจากดูเฟย์มีแนวการประพันธ์เพลงแมสที่ขาดความอบอุ่นในอารมณ์ ของมนุษย์

ในขณะที่เพลงของโอคิกัมเน้นที่การแสดงออกของอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ทำให้ได้รับฉายาว่า “เจ้าชายแห่งดนตรี” (The Prince of music) โอคีกัมพัฒนารูปแบบ ของการสอดประสานทำนองโดยเน้นการล้อกันของแนวเสียงแต่ละแนว (Imitative style) ซึ่งเป็นต้นแบบของฟิวก์อันเป็นรูปแบบที่สำคัญในสมัยบาโรก ซึ่งบาคใช้เสมอเมื่อประมาณ 200 ปีต่อมา ผลงานของโอคีกัมประกอบไปด้วยแมส 14 บท (เสร็จสมบูรณ์ 11 บท) เรควิเอียม 1 บท โมเต็ต 10 บท และชังซอง 20 บทกล่าวได้ว่าผลงานของโอคีกัมส่วนใหญ่เป็นเพลงโบสถ์ทั้งสิ้น
4. จอสกิน เดอส์ เพรซ์ (Josquin des Prez, ประมาณ 1440 -1521) ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ผู้ที่ทำงานให้สันตะปาปา ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และย้ายมารับใช้เจ้านายในราชสำนักฝรั่งเศสเป็นผู้ที่มีแนวการแต่งเพลงที่ละเอียดอ่อน และเป็นผู้นำการแต่งเพลงประสานเสียงซึ่งทำให้ผู้ฟังเห็นถึงความสดใสและความ มีพลังของการขับร้อง แนวทางที่เขาใช้นี้รู้จักในนามของ Musica reservata ซึ่งเป็นภาษาละตินมีความหมายถึงดนตรีสำหรับผู้ที่เข้าถึงโดยเฉพาะ ผลงานของจอสกินได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของดนตรีในสมัยรีเนซองส์ ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่จอสกินได้รับการยกย่องตลอดมาแม้กระทั่งเมื่อเขาสิ้น ชีวิตไปแล้วผลงานของเขายังมีการนำมาตีพิมพ์ใหม่ในศตวรรษที่ 17 และได้รับการกล่าวยกย่องจาก นักประวัติศาสตร์ดนตรีชาวอังกฤษ คือ เซอร์จอห์น ฮอว์กินส์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 อีกด้วย กล่าวได้ว่า จอสกิน เดอส์ เพรซ์ คือ ผู้ประพันธ์เพลงที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งในสมัยรีเนซองส์ มีผลงานดีเด่นในลักษณะเพลงโบสถ์เช่นเดียวกับผู้ประพันธ์คนอื่นๆ ในสมัยนี้

5. โทมัส ทัลลิส (Thomas Tallis)

เกิดปี ค. ศ 1505 เสียชีวิต 23 พฤศจิกายน 1585 เป็นนักออร์แกนและเป็นนักแต่งเพลงชาวอังกฤษเป็นเพื่อนกับ เบิร์ด (William Byrd) เขาเป็นนักออร์แกนของ Dover Priory ในปี 1532 แต่ย้ายไปกรุงลอนดอน (Saint Mary-at-Hill) ต่อจากนั้นไปที่ Waltham Abbey หลังจากการเสียชีวิตของ ทัลลิส เขาได้รับยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งศาสตร์หลาย ๆ ศาสตร์ไม่ใช่เพียงดนตรีเท่านั้น”(Tallis was indeed a master,not of one but of many styles)


6. ปาเลสตรินา (Giovanni Pierluigi da Palestrina, ประมาณ 1524-1594)

ผู้ประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียนซึ่งใช้ชื่อเมืองเกิดเป็นชื่อเรียกแทนชื่อจริง ๆ ปาเลสตรินาใช้เวลาส่วนใหญ่รับใช้สันตะปาปาปอลที่ 4 ในช่วงระยะเวลานี้เขาได้สร้างสรรค์งานประเภทเพลงโบสถ์ ประกอบไปด้วยเพลงแมส 105 บท โมเต็ต และเพลงโบสถ์ลักษณะอื่นๆ ซึ่งจัดเป็นเพลงที่มีรูปแบบของการสอดประสานทำนองที่มีคุณค่ามากที่สุด ส่วนหนึ่งในโลกของดนตรีสมัยรีเนซองส์ โดยเฉพาะแมสบทหนึ่งที่มีชื่อว่า Missa Papae Marcelli (Mass for Pope Marcellus) ที่มีความบริสุทธิ์สวยงามชวนให้ผู้ฟังนึกถึง สวรรค์นอกจากเพลAB สถ์เขาประพันธ์เพลงคฤหัสถ์ได้เป็นจำนวนมากเช่นกันได้แก่เพลงมาดริกาล 4 เล่ม สำหรับการร้อง 4 และ 5 แนวและเพลงสำหรับการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีอีก 8 บท ซึ่งเพลงต่าง ๆ ล้วนจัดว่าเป็นเพลงในระดับคุณภาพทั้งสิ้น มีน้อยเพลงที่ไม่ถึงระดับคุณภาพนอกเหนือไปจากการเป็นผู้ประพันธ์เพลงที่โด่งดัง เขายังเป็นนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ และหัวหน้านักร้องประสานเสียงประจำโบสถ์


7. เบิร์ด (William Byrd, 1543-1623) ผู้ประพันธ์เพลงและนักออร์แกนชาวอังกฤษ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้น เบิร์ดได้รับอิทธิพลและสไตล์ในการแต่งเพลงโดยมีลักษณะเฉพาะของอังกฤษมาจากครูของเขาคือ Thomas Tallis ขณะที่อายุเพียง 20 ปี เบิร์ดมีช่วงชีวิตอยู่ในสมัยของการขัดแย้งทางศาสนาคริสต์จนในที่สุดอังกฤษได้จัดตั้งนิกายใหม่ขึ้นมาคือ The Church of England แม้ว่าเบิร์ดเป็นชาวแคธอลิคเขาประพันธ์เพลงโบสถ์ทั้งนิกายแคธอลิคและแองกลิกัน นอกจากเพลงโบสถ์ เขาประพันธ์เพลงคฤหัสถ์ประเภทต่างๆ ไว้มากมาย เช่น มาดริกาลเพลงสำหรับคีย์บอร์ดและอื่นๆ ผลงานของเบิร์ดไม่ว่าจะเป็นเพลงโบสถ์หรือเพลงคฤหัสถ์ล้วนเป็นบทเพลงที่มีคุณค่าทั้งสิ้น เบิร์ดและเพื่อน คือ โธมัส ทาลิสได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระราชินีอลิซาเบธที่หนึ่งให้จัดพิมพ์โน้ตดนตรีแต่ผู้เดียวในสมัยนั้น


8. มอนแทแวร์ดี (Claudio Monteverdi, 1567-1643) ผู้ประพันธ์ เพลงชาวอิตาเลียน ซึ่งรับใช้ทั้งในราชสำนักและในวัดหลายแห่งตลอดชีวิตของเขา เป็นผู้ที่เริ่มดนตรีสมัยใหม่โดยโจมตีแนวคิดเก่าๆ ในขณะนั้นเกี่ยวกับแนวการแต่งเพลงที่ใช้ดนตรีเน้นบทร้องให้เด่นขึ้นมาซึ่ง เรียกว่า Word painting โดยกล่าวว่าดนตรีควรใช้ในการแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกและเนื้อหาของเพลง มากกว่าคำแต่ละคำในบทร้อง นอกจากนี้ยังวิจารณ์การใช้โครงสร้างของการสอดประสานทำนองซึ่งเป็นหลักที่ใช้ กันทั่วไป โดยหันมาให้ความสำคัญกับการร้องแนวเดียวไม่มีการสอดประสาน (Monody) เขาฝากผลงานไว้มากมายทั้งเพลงโบสถ์และเพลงคฤหัสถ์ ส่วนใหญ่ของผลงานเพลงโบสถ์ใช้รูปแบบการประพันธ์แบบการร้องเพลงของสองกลุ่ม นักร้อง (Antiphonal Style) มีทั้งเพลงแมสและเพลงประเภทอื่นๆ เช่น เพลงมาดริกาลที่มีบทร้องเป็นเรื่องศาสนา สิ่งหนึ่งที่เขาสร้างสรรค์ไว้และถือเป็นจุดเริ่มต้นของดนตรีในรูปแบบนี้คือ โอเปร่า ไม่ว่าจะเป็นการร้องเดี่ยว การร้องประสานเสียงและดนตรีที่บรรเลงล้วนนำไปสู่อารมณ์ความรู้สึกซึ่งทำให้ โอเปร่าของเขาเป็นผลงานที่ควรแก่การยกย่องและแนวคิดในเรื่องการบรรเลงดนตรี ประกอบโอเปร่านี้เองจัดได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของวงออร์เคสตรา โอเปร่าส่วนใหญ่ของมอนเทแวร์ดีสูญหายไปหมด คงเหลืออยู่เพียง 3 เรื่อง ได้แก่ Orfeo ,2 Ritorno of Ulisse in Patria (The Return of Ulysses) และ L’ Incoronazione of Poppea (The Coronation of Popea) กล่าวได้ว่าเขามีแนวคิดในการประพันธ์เพลงแบบโรแมนติกดังที่เขากล่าวไว้ว่า ดนตรีควรอยู่บนรากฐานของธรรมชาติในความเป็นมนุษย์กล่าวคือดนตรีควรใช้ในการ แสดงออกถึงความรักอย่างเต็มรูปแบบ ความเศร้าซึมจนถึงความโกรธ หรือความสุขสันต์จนถึงความผิดหวัง



แหล่งที่มา: http://www.lks.ac.th